บทที่ 2 ตอนที่ 2
“นั่นขาลูกเป็นอะไรไปเหรอ ชมพูนุช” ชลิตา มารดาของชมพูนุชเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเจ้าหล่อนเดินกะเผลกกลับเข้ามาในเรือนพัก
“ฉันหกล้มน่ะแม่ แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”
หล่อนฝืนยิ้มเดินเข้ามาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ กับมารดา ซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้สุดกำลัง
“แล้วไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ ถึงได้หกล้มน่ะ”
“ฉัน...” หล่อนอึกอักไม่อยากบอก เพราะไม่ต้องการให้มารดาเป็นกังวลใจไปด้วย “ฉันสะดุดเท้าตัวเองน่ะค่ะ”
ชลิตาพยักหน้ารับน้อยๆ มองลูกสาวเพียงคนเดียวด้วยความห่วงใย
“พักนี้หน้าตาของลูกไม่ค่อยดีเลยนะชมพูนุช ทุกข์ใจอะไรหรือเปล่า มีอะไรบอกแม่ได้นะลูก”
“ฉันสบายดีค่ะแม่” หล่อนฉีกยิ้มกว้าง แม้ว่าภายในลึกๆ แล้วจะเศร้าหมองนักก็ตาม
มารดาของหล่อนระบายยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ และดึงมือของหล่อนเข้าไปกุมเอาไว้
“ถ้ามีอะไรคับข้องใจ ต้องบอกแม่ เข้าใจไหม”
“ค่ะแม่ ฉันจะบอกแม่ทุกเรื่องเลยค่ะ”
“ดีมากลูกรัก อ้อ แล้วนี่เห็นพี่ชายของลูกบ้างหรือเปล่า”
เมื่อมารดาเอ่ยถามถึงฟีรัส หล่อนก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้
“นี่พี่ฟีรัสยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ”
“ใช่ พ่อของลูกก็ถามหาอยู่เมื่อครู่นี้น่ะ”
หล่อนพอจะเดาได้ว่า หากฟีรัสยังไม่กลับเข้าบ้าน เขาจะไปทำอะไร ซึ่งมันคือเรื่องร้ายแรงมากเลยทีเดียว
“งั้นเดี๋ยวฉันมานะคะแม่” ร่างอรชรผุดลุกขึ้นยืน
“นั่นลูกจะไปไหนเหรอ ชมพูนุช”
“ฉันจะไปดูพี่ฟีรัสสักหน่อยน่ะจ้ะ เดี๋ยวมานะแม่”
ชลิตาพยักหน้าตอบรับไม่ขัดข้อง “บอกพี่ฟีรัสด้วยนะว่าท่านพ่อรอพบอยู่”
“จ้ะแม่” หล่อนระบายยิ้มให้กับมารดา แต่พอหมุนตัวหันหลังก้าวลงบันได รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไปสิ้น ความวิตกกังวลใจปรากฏเด่นชัดขึ้นมาแทน
มือเล็กทั้งสองข้างที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น และก็ภาวนาให้ฟีรัสยอมฟังคำตักเตือนของหล่อนบ้าง ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
สถานที่ที่ฟีรัสและมัสรานีใช้นัดพบกันนั้นอยู่นอกกำแพงพระราชวังซาเรียไม่มาก แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าที่แห่งนี้มีอยู่ในอาณาจักรของซาเรีย
ชมพูนุชก้าวเดินไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยอิฐสีส้มสวยด้วยความรีบเร่ง หล่อนพยายามที่จะเร้นกายออกไปจากพระราชวังใหญ่ให้เงียบเชียบที่สุด แต่เคราะห์ร้ายที่หล่อนบังเอิญเจอกับองค์รัชทายาท
จามีลเข้าอีกครั้ง
หล่อนชะงักเท้ากึก ปากคอสั่นเทาโดยอัตโนมัติ ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ และก็รีบก้มหน้ามองพื้นอิฐทันที เมื่อดวงตาคมกริบสีทองเรืองรองของจามีลตวัดมองมา
หล่อนตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้ หล่อนก็ยิ่งวุ่นวายใจยิ่งนัก
“วันนี้เราพบหน้าเจ้าสองครั้งแล้วนะ”
น้ำเสียงของชายสูงศักดิ์ตรงหน้าทำให้หล่อนต้องก้มหน้าต่ำลงไปมากยิ่งขึ้น “หม่อมฉัน... ขอประทานอภัยเพคะ”
“หึ... เจ้าจงใจทำให้เราเห็นเจ้าวันละหลายๆ ครั้งสินะ”
ด้วยความตกใจกับความคิดของเขา ทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมองอย่างลืมตัว และละล่ำละลักปฏิเสธ “ไม่ใช่นะเพคะ มันคือเรื่องบังเอิญ...”
และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วก็ติดกับดักรักเข้าอย่างจัง เมื่อหล่อนไม่อาจจะละสายตาจากใบหน้าหล่อจัดราวกับเทพบุตรขององค์
รัชทายาทจามีลได้เลย
ทำไมเขาถึงได้หล่อแบบนี้ หล่อเหลา และงามสง่าเหลือเกิน จนหัวใจของหล่อนเจ็บปวดรวดร้าว เพราะไม่อาจจะแตะต้องบุรุษผู้นี้ได้ แม้แต่ในฝันก็ไม่มีทางเป็นจริง
“ไม่มีความบังเอิญหรอก สำหรับผู้หญิงอย่างเจ้าน่ะ”
ทำไมเขาพูดแบบนี้นะ เขาพูดเหมือนรู้อะไรมาสักอย่าง แต่มันคืออะไรกันล่ะ?
“หม่อมฉัน...”
“เราพูดถูกต้องไหมล่ะ”
หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร จึงทำได้แต่จ้องหน้าเขาด้วยสายตาตื่นตระหนกเท่านั้น และนั่นก็ยิ่งทำให้เขามองหล่อนอย่างเหยียดหยามดูแคลนมากยิ่งขึ้น
“แต่จำเอาไว้นะว่าเราไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตา ไม่ว่าเจ้าจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม”
“องค์รัชทายาท... ทรงตรัสถึงเรื่องอันใดเหรอเพคะ”
เขายิ้มเยาะที่มุมปากหยักสวยของตนเอง ความเดือดดาลในดวงตาสีทองทำให้หล่อนหวาดหวั่น
“เจ้ารู้ดีว่าเราพูดถึงเรื่องอะไร จริงไหม ชมพูนุช”
“หม่อมฉัน...”
“หวังว่าเราคงจะไม่บังเอิญเดินสวนกันอีกนะ”
เขาทิ้งถ้อยคำหยามหยันราวกับรู้ทันความรู้สึกของหล่อนเอาไว้ ก่อนจะหมุนเรือนกายใหญ่โตแสนสง่างามเดินจากไป ทิ้งให้หล่อนยืนอึ้ง สมองปั่นป่วนอยู่เพียงลำพัง
“พระองค์หมายความว่ายังไงเหรอเพคะ...”
หล่อนพึมพำด้วยความไม่สบายใจ ก่อนจะกัดฟันหยุดคิดเรื่องของตนเอง และรีบมุ่งหน้าเดินตรงไปยังประตูวังทันที
